วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

ศาล



ศาล

            รัฐธรรมนูญทุกฉบับ (ฉบับปัจจุบัน ม.198) บัญญัติว่า “บรรดาศาลทั้งหลายจะตั้งขึ้นได้ก็แต่ โดยพระราชบัญญัติ” หมายความว่า ศาลไม่อิสระจากอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งผิดหลักวิชาการว่าด้วย ความเป็นอิสระของศาล
            ศาลที่ถูกต้องตามหลักวิชา จะต้องอิสระจากอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร รวมทั้ง อำนาจอื่นๆ ทั้งปวง เพราะอำนาจศาลเป็น อำนาจอธิปไตย
            ตามหลักของ “ระบบรัฐสภา” ศาลเป็นใหญ่เป็นอิสระ ถ้ามีปัญหาว่ากฎหมายจะขัดหรือแย้ง กับรัฐธรรมนูญ ศาลย่อมเป็นผู้ชี้ขาด มิใช้ให้ ตุลาการรัฐธรรมนูญ ชี้ขาด เพราะคณะตุลาการ รัฐธรรมนูญเป็นเพียงกลไกของรัฐสภามิใช่ศาล โดยเฉพาะยังเอาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาทำลาย ยุบพรรคการเมืองอีกด้วย จึงยิ่งผิดหน้าที่ยิ่งขึ้น ทำให้เกิดเป็นอำนาจนิติบัญญัติเข้ามาทำหน้าที่ตุลาการ ผิดหลักระบบรัฐสภา ทำให้เสียดุลในดุลของระบบรัฐสภาเป็นรัฐล้มเหลว (ศาลการเมือง) ยักษ์ไร้ กระบอง
            การจัดตั้งศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญขึ้นโดยนักวิชาการอ้างว่า เพื่อให้มีศาลปกครองและ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้เป็นอิสระจากศาลสถิตยุติธรรมนั้น ผิดหลักวิชาการอย่างร้ายแรง

ศาลรัฐธรรมนูญ

            รัฐธรรมนูญ 2475 มาตรา 58 บัญญัตไว้ว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ท่านว่าเป็นอำนาจ ของศาลโดยเฉพาะ”
            บทบัญญัตินี้ ถูกต้องตามหลักวิชาการและสอดคล้องกับหลักของ “ระบบรัฐสภา” และ รัฐธรรมนูญ ที่บอกว่า ศาลเป็นใหญ่เป็นอิสระ เพราะอันที่จริงตามหลักของระบบรัฐสภา ศาลย่อมเป็น ผู้ชี้ขาดอยู่แล้ว คือมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี แล้วยังบัญญัติไว้อีกด้วยว่า “เป็นอำนาจของศาล โดยเฉพาะ” แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันตัดคำว่า “โดยเฉพาะ” ออกเสียเหลือเพียง “การพิจารณา พิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล…” (197)
            การที่เอาโดยเฉพาะออกเสีย ก็เพราะผู้ร่างแบ่งอำนาจของศาล ไปให้กับ “รัฐสภา” เสียบ้างคือ ต้องการเอาคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เป็น “ศาล” เสียบ้าง และยังเอา “ศาล” เป็น “ผู้บริหาร” เสียบ้าง เช่น เป็นผู้ออกกฎหมายจับกุมผู้กระทำความผิด รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทำให้ความเป็นอิสระของ ศาลถูกทำลายลงไปจนหมดสิ้น ทำให้ศาลซึ่งเป็น “อำนาจสุดท้าย” ในการถือดุลในดุล เสียดุลจนหมด สิ้น มันจึงเป็น “ระบบรัฐสภา” ที่ตลกที่สุดในโลก ปัญหาที่เกิด วิกฤติทั่วไป (General Crisis) ในบ้าน เมืองของเราขณะนี้ ก็เพราะนักวิชาการและนักการเมืองไม่เคารพหลักวิชานั่นเอง


ความหมายของคำว่า ลัทธิอนาธิปไตย


ความหมายของคำว่า  ลัทธิอนาธิปไตย

            คำว่า อนาธิปไตย มาจากคำว่า “อน” บวกกับคำว่า “อธิปไตย” แปลว่า “ไม่มีอธิปไตย” คำว่า “อน” แปลว่า “ไม่มี” คำว่า “อธิปไตย” แปลว่า “อำนาจการปกครอง” หรือ อำนาจของรัฐบาล (โดย ปกติคำว่า “ไม่” ต้องใช้ “อ” แต่ถ้าไปใช้นำหน้าคำที่มี “อ” ด้วยต้องแผลงเป็น “อน”)
            อนาธิปไตย จึงแปลว่า ไม่มีอำนาจการปกครอง คำนี้แปลมาจากคำอังกฤษว่า “Anarchy” ซึ่งมา จกาคำกรีกว่า “AN” แปลว่า “ไม่มี” กับคำว่า “Arkhes” แปลว่า “ผู้ปกครอง” บวกกันเป็น Anarchy แปลว่า ไม่มีผู้ปกครอง (Without Ruler) และเมื่อมาเป็นภาษาอังกฤษว่า Anarchy จึงแปลว่า “ว่าง รัฐบาล” (Absence of Government)
            ฉะนั้น คำไทยว่า “อนาธิปไตย” จึงตรงกับ Anarchy เผงที่เดียวทั้งความหมายและรากศัพท์ ซึ่ง ตรงกับคำไทยเดิมคำหนึ่งว่า “บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป” ขื่อแป ก็คือ อุปมาของรัฐบาล ไม่มีขื่อไม่มีแป จึงหมายความว่า ไม่มีรัฐบาล หรือมีรัฐบาลก็เหมือนไม่มี คำว่าไม่มีขื่อไม่มีแป จึงตรงกับคำว่า อนาธิปไตย
            การเลือกตั้งในบ้านเราทุกครั้ง หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นการเลือกตั้งที่นำไป สู่อนาธิปไตยทุกครั้ง (ล้มเหลวทุกครั้ง) แต่กลับมีคนเห็นว่าเป็นประชาธิปไตยไปได้ทุกครั้ง ทั้งๆ ที่เป็น อนาธิปไตยทุกครั้ง
            ลัทธิอนาธิปไตย (Anarchism) เป็นอุดมคติอย่างหนึ่ง หมายถึง สังคมที่ไม่ต้องมีการปกครอง หรือไม่ต้องมี “รัฐบาล” (Government) เป็นสังคมที่สมบูรณ์ด้วย “เสรีภาพของบุคคล” ยังผลให้ คุณค่าแห่งมนุษย์ ได้เผยโฉมหน้าอย่างเต็มดวง เพรียบพร้อมด้วยความไพบูลย์ทางวัตถุ และความเจริญ ทางจิตใจ ลัทธินี้เมื่อดูไปแล้วก็คงจะเป็นสังคมที่ไม่ต่างไปจาก พระศรีอารย์ นั่นเอง
            ในปัจจุบัน ลัทธิอนาธิปไตยถือเป็นลัทธิแห่งความเพ้อฝันไม่ใช่ใฝ่ฝัน เป็นเพียงคำแปลตามตัว อักษร ดังนั้น อนาธิปไตยในฐานะที่เป็น “ลัทธิ” (Doctrine) จึงแทบจะไม่มีเหลืออีกแล้ว ยังคงเหลือแต่ อนาธิปไตย (Anarchy) ที่เป็น ระบอบการปกครองเท่านั้น
            ระบอบประชาธิปไตย (Democratic Regime) และระบอบอนาธิปไตย (Anarchy Regime) ต่างก็ ยกย่อง “เสรีภาพของบุคคล” (Freedom of the People) เหมือนกัน โดยต่างก็ถือเอา เสรีภาพทาง ความคิดเป็นรากฐานของเสรีภาพทั้งปวงด้วยกัน
            แต่ต่างกันที่ ระบอบประชาธิปไตยนั้น เสรีภาพของบุคคล ต้องประกอบด้วย อำนาจอธิปไตย ของปวงชน เสมอ ส่วนระบอบอนาธิปไตยเป็นเสรีภาพของบุคคลที่ปราศจากอำนาจอธิปไตยของ ปวงชน

ทางสายกลางความเป็นกลาง



ทางสายกลางความเป็นกลาง

            คำว่า “เป็นกลาง” กับคำว่า “สายกลาง” มีความหมายไม่เหมือนกัน ทั้งในเรื่องการเมือง ศาสนา และเรื่องธรรมดาทั่วไป
            “เป็นกลาง” (Neutral) นั้นจะเกี่ยวกับเรื่อง ข้อขัดแย้ง เสมอไป ถ้าไม่มีความขัดแย้งความเป็น กลางก็มีขึ้นไม่ได้ เช่น ถ้ามีคนทะเลาะกัน มีอีกคนหนึ่งไม่เข้าใจ เข้าไปห้ามทั้งสองข้างไม่ให้ทะเลาะ กัน คนๆ นั้นก็เป็นกลางระหว่าง 2 ฝ่าย
            “สายกลาง” นั้น เกี่ยวกับเรื่องทั่วไป คือ เรื่องของการกระทำที่ไม่ตึงไม่หย่อนในทุกเรื่อง เรียก ว่า “ความพอดี” (Moderation) ความพอดีทำให้เกิด “ความสมดุล” ทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา”
            ทางสายกลางก็เอาไปใช้กับความเป็นกลางได้ คือ เป็นกลางด้วยการเดินสายกลาง ก็จะแก้ปัญหา ความขัดแย้งนั้นได้ เช่นกันคือ แก้ปัญหาในแบบไม่ตึงเกินไปและไม่หย่อนเกินไป เช่น เห็นคนทะเลาะ กันแล้วนิ่งเฉย เพราะถือว่าเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใดอย่างนี้ เรียกว่า “หย่อนเกินไป” ไม่พอดี หรือ ถือ ว่าเป็นกลางแล้วห้ามไม่เชื่อ กระโดดเข้าชกปากข้างโน้นทีข้างนี้ที เพื่อบังคับให้เขาเลิกทะเลาะกันอย่าง นี้ก็ “ตึงเกินไป” แก้ปัญหาไม่ได้ แต่ถ้าเข้าไปห้ามทั้ง 2 ข้างด้วยเหตุผลอย่างเหมาะสมให้เลิกทะเลาะกัน และปรับความเข้าใจกันได้อย่างพอดี ก็เรียกว่า สายกลาง
            ทางสายกลางนี้ เป็นหลักธรรมที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็น หลักธรรมแรกของพระพุทธศาสนาจาก “ปฐมเทศนา” แก่ปัญจวัคคีย์ เรียกว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ว่าด้วย “อุโภอันเต” ที่สุด 2 อย่าง และ มัชฌิมาปฏิปทา โดยโยคีอัญญาโกณฑัญญะ ดวงตาเห็นธรรมเป็นอรหันต์องค์แรก

การปฏิวัติของประชาชน



การปฏิวัติของประชาชน

            มีผู้สงสัยมากว่า ที่ว่าเป็น การปฏิวัติของประชาชนนั้น หมายความว่าอย่างไร เพราะการปฏิวัติ ของคณะราษฎรประชาชนเขาก็อยู่เฉยๆ ไม่เห็นว่าประชาชนจะได้ทำการปฏิวัติอะไรเลย
            การปฏิวัติของประชาชนหมายความว่า เป็นความต้องการของประชาชน ความต้องการของ ประชาชนคือ “มติมหาชน” ถึงแม้จะอยู่เฉยๆ ก็มีพลังยิ่งใหญ่ กระแสปฏิวัตินั้นรู้สึกได้
            ในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องการปฏิวัตินั้น บุคคลใดหรือคณะบุคคลใดก็ตามที่รับความ ต้องการนั้นของประชาชนไปปฏิบัติเพื่อบรรลุความต้องการ เขาก็เป็น “ผู้แทนของประชาชน” และเป็น “ผู้นำการปฏิวัติของประชาชน” ทั้งนี้เพราะประชาชนปฏิวัตินั้นต้องมี “ผู้นำ” ซึ่งอาจเป็นบุคคล ประเภทไหน ระดับไหนก็แล้วแต่สภาวการณ์ อาจนำโดยพระเจ้าแผ่นดินก็ได้ เช่น ญี่ปุ่น
            พล.ท. ประยูร ภมรมนตรี ผู้นำคนหนึ่งของคณะราษฎรเขียนถึงเงื่อนไขของความสำเร็จของการ ปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ไว้ว่า “ประการหนึ่งด้วยความสนับสนุนของประชาชนชาวไทย เนื่องด้วยวิกฤตกาลในการคลัง การเงินและการเศรษฐกิจของประเทศไทยยุคนั้นปั่นป่วน ต้องดุล ข้าราชการกันหลายครั้งหลายหน ส่วนชั้นผู้ใหญ่ก็อยู่ในเกณฑ์ยกเว้นไม่เป็นธรรม การครองชีพฝืดเคือง ข้าวยากหมากแพง บ้านเมืองอยู่ในฐานะซบเซา ประชาชนรู้สึกปริวิตกและอิดหนาระอาใจทั่วกัน เพราะฉะนั้น เมื่อมีการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น ก็ได้รับความสนับสนุนโดยมุ่งหวังจะ เป็นทางแก้ไข บรรเทาความวิบัติให้คลี่คลายและฟื้นฟูบ้านเมืองได้” (จากหนังสือ ชีวิต ธ แผ่นดินของ ข้าพเจ้า)


การปฏิวัติสันติ



            การปฏิวัติสันติ มีผลในทางเปลี่ยนแปลงวัตถุด้านเดียว
            แต่การปฏิวัติสันติเท่านั้น นอกจากจะมีผลในทางเปลี่ยนแปลงวัตถุแล้ว ยังมีผลในทางเปลี่ยน แปลงจิตใจอีกด้วย
            ถ้าประเทศใดประชาชนทำการปฏิวัติสันติได้สำเร็จ ก็คือ การปฏิวัติมนุษย์ (Human Revolution)
            การปฏิวัติมนุษย์ เป็นประตูทองไปสู่ “ยุคมนุษยธรรม” แก้ปัญหาประเทศได้แล้ว ยังช่วยแก้ ปัญหาโลกและมนุษยชาติที่ใกล้จะถึงทางตัน (ของยุคทุนนิยม) ได้อีกด้วย
            แนวทางรุนแรงเป็นพลังชนิด “หยาบ” ย่อมมีกำลังน้อย แนวทางสันติเป็นพลัง “ปราณีต” ย่อม มีกำลังมาก (หลักการจัดกำลังในวิชายุทธศาสตร์)
            ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมเริ่มต้นขึ้นในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อมาถึงทุกวันนี้มันเริ่มเข้าสู่วัยชรา ใกล้แตกดับ ประเทศมหาอำนาจที่เคยมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจกลับกลายเป็นประเทศที่มีหนี้ สาธารณะท่วมล้น และแก้ไม่ได้ ยุโรปและอเมริกาเหนือใกล้ล้มละลาย หาทางแก้ไม่ได้ มาตรการที่ เคยใช้ได้ผลมา  500ปี ในการแก้วิกฤติเศรษฐกิจกลับดื้อยา เพราะยังไม่รู้ตัวว่ามันกำลังสิ้นยุคทุนนิยม แล้ว แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้


ทฤษฎีปฏิวัติถาวร

            ในระบบสังคมนิยมนั้น เดิมที่ก็เข้าใจกันว่าจะต้องรบกับระบบเสรีนิยมตลอดไป เพราะความ เข้าใจเช่นนี้ ถึงกับมีผู้ตั้งทฤษฎีขึ้นมาทฤษฎีหนึ่ง เรียกว่า “ทฤษฎีถาวร” (Permanent Revolution)
            ทฤษฎีนี้มีใจความว่า เมื่อระบบสังคมนิยมชนะในประเทศรัสเซียแล้ว ก็ต้องยกกองทัพบุกตะลุย เข้าไปในประเทศเสรีนิยม เพื่อช่วยชนกรรมาชีพของประเทศเหล่านั้นทำการปฏิวัติให้สำเร็จติดต่อกัน ไปจนตลอดโลก โดยไม่มีการหยุดเลย จึงเรียกว่า การปฏิวัติถาวร คือต้องทำสงครามปฏิวัติเรื่อยไปไม่มี หยุดทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีของ “ทรอตสกี้”
            แต่เลนินไม่เห็นด้วย โดยสรุปว่า ถึงแม้ระบบเสรีนิยมกับระบบสังคมนิยมโดยธรรมชาติจะอยู่ ร่วมโลกกันอย่างสันติภาพไม่ได้ก็จริงอยู่ แต่ก็มีเงื่อนไขที่ประเทศสังคมนิยมจะสามารถใช้นโยบายให้  2 ระบบนี้อยู่ร่วมโลกกันอย่างสันติภาพได้ เหมือนกับการเอาคน 2 คนที่เป็นคู่อาฆาตกันมาอยู่ในห้อง เดียวกันได้นั้น มีวิธีที่จะทำให้ไม่ชกกันได้เป็นวิธีการพิเศษ ซึ่งไม่ศัพท์อื่นที่จะเหมาะกับความหมายนี้ มากไปกว่า “อยู่ร่วมกันโดยสันติภาพ” (Peaceful Co-Existence)


ราชอาณาจักร


ราชอาณาจักร

            ราชอาณาจักร (Kingdom) เป็นรูปของรัฐในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมี 2 รูป
            1. รัฐเดียว (Unitary State)
            2. หลายรัฐ (Multi-State)
            รัฐเดียว เรียกว่า “ราชอาณาจักร” เช่น อังกฤษเรียกว่า สหราชอาณาจักร (Unitary Kingdom) ญี่ปุ่นเป็นแบบจักรวรรดิ (Empire)
            หลายรัฐ เรียกว่า สาธารณรัฐ (Republic) เช่น สหรัฐ หรือ รัฐบาลสหพันธ์ (Federal Government) รัฐบาลแห่งรัฐ หรือรัฐบาลมลรัฐ (State Government) รัฐบาลที่ถือดุล เรียกว่า รัฐบาล กลาง
            ตามหลักวิชาของประเทศรัฐเดียว ต้องใช้หลักรวมศูนย์อำนาจการปกครอง (Centralization of Administrative Power) จึงจะสามารถรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของราชอาณาจักรไว้ได้
            ประเทศหลายรัฐต้องใช้หลัก กระจายอำนาจการปกครอง (Decentralization of Administrative Power) จึงจะสามารถรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของรัฐบาลสหพันธ์เอาไว้ได้
            ประเทศรัฐเดียวผู้ว่าราชการจังหวัดต้องแต่งตั้งเท่านั้น และมีอำนาจสั่งการตำรวจโดยตรง ในเขตปกครองไม่ใช่ศาล


ผู้ถือดุล


ผู้ถือดุล

            “ระบบ” (System) ทุกระบบ ตั้งแต่ใหญ่ที่สุดจนถึงเล็กที่สุด ตั้งแต่ “เอกภพ” (Universe) จนถึง “ปรมาณู” (Atomic) ทั้งที่เป็นรูปธรรม (Concrete) และเป็นนามธรรม (Abstract) จะดำรงความเป็น ระบบอยู่ได้ ต้องมี ความสมดุล (Balance) หรือมีดุลยภาพ (Equilibrium) และในดุลยภาพนั้นต้องมี “ผู้ถือดุล”
            ผู้ถือดุลของระบบที่ใหญ่ที่สุด คือ เอกภาพ ก็คือ “ความว่าง” หรือ “ศูนย์” (Zero) ซึ่งทาง พระพุทธศาสนา เรียกว่า “สูญญตา” และเรียกความสมดุลนั้นว่า “มัชฌิชาปฏิปทา” (Moderation) เรียกเป็นไทยว่า “ทางสายกลาง” ผู้ถือดุลของระบบที่ใหญ่รองลงมาคือ “สุริยระบบ” (Solar System) ก็คือ ดวงอาทิตย์
            ความสมดุลเกิดจากการถ่วงดุล แต่มักจะมีความเข้าใจกันว่า การถ่วงดุลนั้น หมายถึง แต่ละส่วน ในระบบมีกำลัง หรืออำนาจเท่าๆ กัน แน่นอนบางส่วนมีกำลังหรือมีอำนาจเท่ากัน หรือมากน้อยกว่า กันไม่มาก แต่จะต้องมีส่วนหนึ่งมีอำนาจหรือมีกำลังมากที่สุด ครอบงำส่วนอื่นๆ ไว้ทั้งหมด จึงจะ ทำให้การถ่วงดุลระหว่างส่วนต่างๆ เกิดความสมดุล และดำรงความเป็น “ระบบ” (System) นั้นๆ อยู่ได้
            การถ่วงดุลในระบบสุริยะจักรวาล ดาวพระเคราะห์ต่างๆ มีกำลังมากน้อยกว่ากันไม่มาก แต่ ดวงอาทิตย์มีกำลังมากที่สุดเป็นตัวหลักให้เกิดการถ่วงดุล และดำรงความเป็นดุลยภาพของของ สุริยระบบไว้ได้ ถ้าดวงอาทิตย์เกิดสูญเสียกำลังที่ควรมี สุริยระบบก็จะแตกสลายทันที
            ดุลแห่งอำนาจระหว่างมหาประเทศก็เช่นเดียวกันจะดำรงความเป็นระบบอยู่ได้ ก็ต้องมีประเทศ หนึ่งเป็น ผู้ถือดุล อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อิตาลี อาจมีอำนาจเท่าๆ กัน แต่ต้องมีประเทศหนึ่งมีอำนาจ มากกว่าเพื่อน คือ สหรัฐ จึงจะรักษาดุลแห่งอำนาจไว้ได้ ถ้าสหรัฐอำนาจลดลงเท่ามหาอำนาจอื่น หรือ มหาอำนาจอื่นมีอำนาจเพิ่มขึ้นเท่าสหรัฐ จะเสียดุลแห่งอำนาจ และเกิดสงครามทันที
            ผู้ถือดุลจึงหมายถึงส่วนที่มีอำนาจมากที่สุดในระบบหนึ่งๆ และนี่คือรากฐานของความรู้ว่าด้วย “ระบบ” ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ
            คำว่า “ระบบอะไร” ตามหลักวิชาจึงมีความหมายว่าใครเป็นผู้ถือดุล หรือใครเป็นผู้มีอำนาจมาก ที่สุด เช่น ระบบสุริยจักรวาล หมายถึงดวงอาทิตย์เป็นผู้ถือดุล ระบบประชาธิปไตย หมายถึง ประชาชน เป็นผู้ถือดุล ระบบรัฐสภา หมายถึง “สภาผู้แทนราษฎร” เป็นผู้ถือดุล เป็นต้น
            “ระบบรัฐสภา” (Parliamentary System) หมายถึง สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) เป็น “สถาบันหลักทางการเมือง” หรือ เป็น “ผู้ถือดุล” ทางการเมือง เป็นระบบ (Fusion of Powers)
            “ระบบประธานาธิบดี” (Presidential System) หมายถึง ประธานาธิบดี (President) เป็นสถาบัน หลักทางการเมือง หรือเป็นผู้ถือดุลทางการเมือง
            “ระบบกึ่งประธานาธิบดี” (Semi-Presidential System) หมายถึง เป็นระบบกึ่งแยกอำนาจ (Semi-Separation of Powers) เป็นผู้ถือดุล
            ผู้ถือดุล หรือสถาบันทางการเมือง ย่อมมีอำนาจมากกว่าสถาบันอื่น จึงต้องมาจากการเลือกตั้ง เช่น ระบบรัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมาจากการเลือกตั้ง ระบบประธานาธิบดี ประธานาธิบดีจึงต้องมาจากการเลือกตั้ง สถาบันอื่นที่ไม่ใช่สถาบันหลักทางการเมืองไม่จำเป็นต้อง เลือกตั้ง
            แต่บ้านเราเลือกตั้งกันทุกสถาบันแล้ว ยังเอาวุฒิสภาเป็นผู้ถือดุลอีก จึงไม่รู้ว่าเราใช้ระบบอะไร แม้แต่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็ยังไม่รู้ เวรกรรมประเทศไทย ทำให้การปกครองระส่ำระสาย ไร้เสถียรภาพ แก้ไม่ตก


ความหมายของ ระบบ และ ระบอบ



ระบบ และ ระบอบ

            คำว่า “ระบบ” กับ “ระบอบ” ในทางการเมืองไม่เหมือนกัน “ระบบ” (System) หมายถึง “รูปของการปกครอง” (Form of Government) “ระบอบ” (Regime) หมายถึง “หลักการปกครอง” (Principle of Government)
            ระบบ และระบอบ ประกอบกันเป็น “การปกครอง” (Government) ระบอบเป็น หลักการ ปกครอง ระบบเป็นรูปการปกครอง เรียกเป็นคำธรรมดาว่า ระบอบเป็น “เนื้อหา” (Content) ระบบเป็น “รูปแบบ” (Form) การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democratic Government) จึงประกอบด้วย “เนื้อหา” และ “รูปแบบ”
            ไม่ว่าในสิ่งหรือปรากฏการณ์ใดๆ เนื้อหากับรูปแบบย่อมเป็น “เอกภพ” กัน แยกออกจากกัน มิได้ ถ้าเนื้อหากับรูปแบบแยกออกจากกัน ก็จะไม่มีสิ่งหรือปรากฏการณ์นั้นๆ
            ถ้าหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย กับรูปการปกครองแยกออกจากกัน ก็จะไม่มี การ ปกครองแบบประชาธิปไตย หลักการปกครองมี 2 
ระบอบคือ ระบอบประชาธิปไตย (Democratic Regime) กับ ระบอบเผด็จการ (Dictatorial Regime) 
รูปการปกครองมีรูป คือ ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ระบบประธานาธิบดี (Presidential System) และระบบผสมกึ่งรัฐสภา กึ่งประธานาธิบดี (Semi-Presidential System)