ขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติ (ลัทธิฉวยโอกาส)
(Counter Revolutionary Movement)
การปฏิวัติ เป็นกฎของการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของสรรพสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ หรือสังคม เป็นการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งไม่ดีไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
นักปฏิวัติ คือ ผู้ที่รู้ว่าธรรมชาติ ย่อมมีกฎ เกณฑ์ และรู้ว่าสังคมมนุษย์ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
แต่การรู้ว่าสังคมต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเดียว ไม่พอ
จะต้องรู้ว่าในกระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้น มีลักษณะพิเศษชนิดหนึ่งเรียกว่า “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”
(Counter Revolution) หรือ “ปฏิวัติซ้อน” อยู่ด้วย
ปฏิวัติซ้อน คือ
ปัญหาของการปฏิวัติ เป็นความผิดถูกในขบวนปฏิวัติ แต่เป็นปรากฏการณ์ ภายใน มิใช่ปรากฏการณ์ภายนอก ฉะนั้น จึงเข้าใจยาก
ซึ่งการจะเข้าใจได้ต้องอาศัย ความรู้ทางทฤษฏี เท่านั้น เพราะเป็นปัญหาของความคิดที่เรียกว่า
“แนวความคิด” (Line of Thought) ซึ่งเป็นแนวความ คิดที่ต่างกับแนวปฏิวัติ ปัญหานี้เป็นปัญหาสำคัญที่สุดของการปฏิวัติ
เพราะเป็น ปัญหาชี้ขาดของการ ปฏิวัติ ดังนั้น
นักปฏิวัติเงื่อนไขแรกที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องเข้าใจว่า ในการปฏิวัตินั้น
ย่อมต้องมีการ ปฏิวัติซ้อน และในขบวนการปฏิวัติจึงมีทั้งฝ่ายถูกและฝ่ายผิดร่วมกันอยู่
คือมีทั้งฝ่ายปฏิวัติจริง และ ฝ่ายปฏิวัติปลอม มิใช่ว่าในขบวนการปฏิวัติแล้ว
ต้องมีแต่นักปฏิวัติเพียงอย่างเดียว ถ้าเข้าใจว่าใน ขบวนการปฏิวัติย่อมเป็นฝ่ายถูกทั้งหมด ก็จะเป็นการเข้าใจผิดพลาดอย่างแรง
และความเข้าใจผิด พลาดนี้ จะนำไปสู่ความผิดพลาดถึงขั้นล้มเหลวของการปฏิวัติ
และความฉิบหายล่มจมของขบวนการ ปฏิวัติทั้งขบวนด้วย
เพื่อความเข้าใจในปัญหานี้
จะต้องทำความเข้าใจกับขบวนการเมือง (Political Movement) ที่สำคัญคือ ขบวนการเผด็จการ
และ ขบวนการประชาธิปไตย
ขบวนการเผด็จการ
เป็นขบวนการล้าหลัง (Back Ward) ขบวนการประชาธิปไตย เป็น ขบวนการก้าวหน้า (Progressive) นัยหนึ่ง ขบวนการเผด็จการเป็นขบวนการปฏิกิริยา
(Reactionary) ขบวนการประชาธิปไตยเป็นขบวนการปฏิวัติ (Revolutionary)
ในขบวนการปฏิวัติยังสามารถแยกออกได้เป็น
2 ชนิด คือ การปฏิวัติประชาธิปไตย (Democratic Revolution) และ การปฏิวัติสังคมนิยม
(Socialist Revolution) เหตุที่จัดขบวนการ ปฏิวัติสังคมนิยมอยู่ในขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตย
เพราะขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถทำการปฏิวัติสังคมนิยม
จึงต้องเข้าร่วมทำการปฏิวัติประชาธิปไตย กับขบวนการ ประชาธิปไตยก่อน แต่ก็เป็นปัญหาเพียงด้านภารกิจเท่านั้น
มิใช่จุดหมายปลายทาง
ขบวนการปฏิวัตินั้น นอกจากจะจำแนกเป็นขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตย และขบวนการ ปฏิวัติสังคมนิยมแล้ว ยังจำแนกเป็น ขบวนการปฏิวัติ (Revolutionary
Movement) และ ขบวนการ ปฏิวัติซ้อน
(Counter Revolutionary Movement) อีกด้วย
ขบวนการปฏิวัติซ้อน
โดยรูปแบบเป็นขบวนการปฏิวัติ ไม่ใช่ขบวนการปฏิกิริยา เป็นขบวน การก้าวหน้า ไม่ใช่ขบวนการล้าหลัง
แต่โดยเนื้อแท้ต่างกับขบวนการปฏิวัติ เพราะมีแนวทางและ นโยบายส่งเสริมแก่ระบอบเผด็จการ แต่มีเจตนารมณ์ประชาธิปไตย
เช่นเดียวกับขบวนการ ประชาธิปไตย ฉะนั้น บทบาทของขบวนการปฏิวัติซ้อน คือ เป็นหลักค้ำของระบอบเผด็จการ และทำลายประชาธิปไตย เพราะว่า ขบวนการณ์เหล่านี้ไม่มีการนำของตนเอง หากแต่ต้องอาศัย การนำของขบวนการอื่นๆ เช่น การนำของพรรคคอมมิวนิสต์บ้าง
การนำของพรรคเผด็จการบ้าง
ระบอบเผด็จการ
ความจริงหาได้มีความเข้มแข็งแต่อย่างใดไม่ เพราะเป็นอำนาจของคน ส่วนน้อย แต่ที่ระบอบเผด็จการสามารถดำรงอยู่ได้นั้น
ก็เพราะบทบาทของขบวนการปฏิวัติซ้อน หรือประชาธิปไตยปลอมนี่เอง
ฉะนั้น ขบวนการประชาธิปไตยปลอม จึงเป็นอุปสรรคของการปฏิวัติ ประชาธิปไตยอย่างที่สุด
เพราะเป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติที่คอยปกป้องระบอบเผด็จการ การปฏิวัติจะเป็นไป ได้หรือไม่ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการต่อสู้ระหว่าง ขบวนการเผด็จการ กับ
ขบวนการประชาธิปไตย เป็น สำคัญ แต่ขึ้นอยู่กับการต่อสู้ระหว่างขบวนการประชาธิปไตย กับขบวนการประชาธิปไตยปลอมเป็น สำคัญ และเหตุที่การปฏิวัติประชาธิปไตยบ้านเราล้มเหลวมาตลอดก็เพราะสาเหตุตรงจุดนี้นั่นเอง
ในสถานการณ์ปฏิวัติยังมาไม่ถึงปัญหานี้จะไม่ค่อยมี
แต่ถ้าสถานการณ์ปฏิวัติใกล้จะมาถึง ความขัดแย้งของขบวนการปฏิวัติซ้อนจะแสดงบทบาทปฏิปักษ์ปฏิวัติอย่างรุนแรง
ในสถานการณ์ เช่นนี้
ถ้าขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตยไม่สามารถขจัดขบวนการปฏิวัติซ้อนให้หมดสิ้นได้
การปฏิวัติ ก็จะล้มเหลว
และฝ่ายปฏิวัติก็จะถูกทำลายหรือไม่ก็จะได้รับความเสียหายอย่างที่สุด
จากประวัติศาสตร์การปฏิวัติของประเทศต่างๆ
ความล้มเหลวของขบวนการปฏิวัติ เพราะเนื่อง มาจากไม่เข้าใจขบวนการปฏิวัติซ้อนมีให้เห็นเป็นอุทธาหรณ์มากมาย
ยกตัวอย่างเช่น การปฏิวัติของ จีน เมื่อพ.ศ. 2460 ซึ่งขบวนการปฏิวัตินำโดยพรรค
“ก๊กมินตั๋ง” มี ดร. ซุนยัดเซ็น เป็นผู้นำการปฏิวัติ ประชาธิปไตย ต้องการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของจีน
ต้องการปฏิรูปที่ดินโดย ดร. ซุนยัดเซ็น ได้กำหนดทฤษฏีที่ถูกต้องสมบูรณ์ และประยุกต์เข้ากับสภาพของประเทศจีน เรียกว่า “ลัทธิไตรราษฎร” หมายถึงหลัก
3 ประการ คือ 1) ลัทธิชาตินิยม 2) ลัทธิประชาธิปไตย 3) ลัทธิการ ครองชีพของประชาชน
ดูเหมือนว่าการปฏิวัติของ ดร. ซุนยัดเซ็น จะสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะ ประชาชนให้การสนับสนุนอย่างกว้างขวาง ขบวนการปฏิวัติของ ดร.
ซุนยัดเซ็น จึงสามารถโค่นล้ม ขบวนการปฏิกิริยาของ พระนางซูสีไทเฮา ลงได้
แต่พออยู่มาเพียง
10 ปีเท่านั้น การปฏิวัติของ ดร. ซุนยัดเซ็น ต้องล้มเหลวและนักปฏิวัติใน ขบวนการของ ดร. ซุนยัดเซ็น ถูกทำลายจนสิ้น เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะใน ขบวนการปฏิวัติมี
ขบวน ปฏิวัติซ้อน อยู่ด้วย โดยพรรค
“ก๊กมินตั๋ง” ได้รวบรวมเอาบุคคลทั้งฝ่ายผิดและฝ่ายถูกไว้ในขบวนการ เดียวกัน แม้จะรู้อยู่ว่ามีทั้งฝ่ายผิดฝ่ายถูกแต่เห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน
จึงไม่ขจัดฝ่ายผิดให้หมด ปล่อยให้ ฝ่ายผิดอย่างเช่น
เจียงไคเช็ค ขยายตัวเติบโตได้ เพราะเห็นว่า เจียงไคเช็ค ได้ไปศึกษาเล่าเรียนการ ปฏิวัติมาจากโซเวียต มีคุณสมบัติเพรียบพร้อมสำหรับการปฏิวัติ ดร. ซุนยัดเซ็น จึงแต่งตั้งให้เป็นนาย ทหาร แต่ภายในจิตใจของเจียงไคเช็คมีความทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่
เมื่อขบวนการประชาธิปไตย
โค่นล้มขบวนการเผด็จการของพระนางซูสีไทเฮาลงได้ และ ดร. ซุนยัดเซ็น เสียชีวิต
เจียงไคเช็คจึงสบโอกาสปราบนักประชาธิปไตย โดยอาศัยข้ออ้างว่าปราบ คอมมิวนิสต์ เพื่อปราบนักประชาธิปไตย แต่จริงๆ
แล้วคอมมิวนิสต์ไม่ได้ถูกปราบ ทำให้พวก ประชาธิปไตยคือพวก
“ก๊กมินตั๋ง” ถูกฆ่าตายเกีอบหมด ส่วนหนึ่งได้หนีตายมาทางทะเลใต้ และเข้า ประเทศไทย ก็คือกองพล 93 ของ ดร. ซุนยัดเซ็น นั่นเอง
ผลสุดท้ายประเทศจีน
จึงเหลือแต่คู่ต่อสู้ระหว่างเจียงไคเช็ค ซึ่งกลายเป็น ขบวนการเผด็จการ กับ
ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม ของเหมาเจ๋อตุงเท่านั้น และผลก็คือ
ขบวนการเผด็จการก็แพ้ ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยมในที่สุด
ถ้าขบวนการประชาธิปไตยไม่ถูกขบวนการปฏิวัติซ้อนทำลาย
ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยมจะไม่มีโอกาสทำการปฏิวัติได้สำเร็จอย่างแน่นอน นี่คือตัวอย่าง ของฝ่าย ปฏิวัติที่ไม่เข้าใจฝ่ายปฏิวัติซ้อน
โดยเฉพาะจะเห็นได้ว่า
ฝ่ายปฏิวัติปราบฝ่ายปฏิวัตินั้นมีความรุนแรงที่สุด รุนแรงยิ่งกว่าฝ่าย ปฏิกิริยาปราบฝ่ายปฏิวัติเสียอีก
เพราะฝ่ายปฏิกิริยาไม่ค่อยมีกำลังจึงมักไม่รุนแรง แต่ฝ่ายปฏิวัติซ้อน มีกำลังจึงมักรุนแรง โดยเฉพาะฝ่ายปฏิวัติด้วยกัน จึงต่างรู้ทันกัน จึงมักถูกทำลาย อย่างรุนแรง
มีหลายประเทศต้องการทำปฏิวัติหลายครั้ง
จึงปฏิวัติสำเร็จ เหตุที่การปฏิวัติ ไม่สำเร็จในครั้ง เดียวก็เพราะ บทบาทของการปฏิวัติซ้อนเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ เช่น
ประเทศอังกฤษต้องทำการ ปฏิวัติใหญ่อยู่หลายครั้งจึงประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างปฏิวัติใหญ่ปี
ค.ศ. 1640 ล้มเหลว การปฏิวัติ ใหญ่ในปี ค.ศ. 1648 ล้มเหลว
และการปฏิวัติที่โด่งดังที่สุดในปี ค.ศ. 1688 ข้าราชการและประชาชน เข้าร่วมการปฏิวัติครั้งใหญ่ เปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ใน ระบบรัฐสภาแล้ว แต่อังกฤษก็ยังปฏิวัติไม่เสร็จอีก
เพราะกลายเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาไปเสียอีก
ในทางเศรษฐกิจจึงเกิดเป็นระบบผูกขาดทำให้ประชาชนยากจนลง
จนปี ค.ศ. 1837
ได้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่เพื่อขจัดการผูกขาด นำโดย ขบวนการชาร์ติสต์ เรียกร้อง
“กฎบัตรของประชาชน” หรือที่เรียกว่า “ญัตติ 6 ประการ” ประเทศอังกฤษ จึงประสบความ สำเร็จของการปฏิวัติประชาธิปไตย หรืออย่างการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส ก็ต้องทำการปฏิวัติใหญ่อยู่ หลายครั้งเช่นกัน
เช่น การปฏิวัติใหญ่ในปี ค.ศ. 1789 ซึ่งเรียกว่า “มหาปฏิวัติฝรั่งเศส” (Great
Frence Revolution) การปฏิวัติใหญ่ในปี ค.ศ. 1848
จากการกำเนิดขึ้นของลัทธิคอมมิวนิสต์ และการปฏิวัติ ใหญ่ปี ค.ศ.
1871 จากการต่อสู้กันของรัฐบาลปารีส คอมมูน กับรัฐบาลแวซาย ซึ่งมีกรรมกร ล้มตาย ประมาณ 1 แสนคน การปฏิวัติฝรั่งเศสจึงประสบความสำเร็จ
สำหรับการปฏิวัติของประเทศไทย
มีการปฏิวัติใหญ่ในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งนำโดย “คณะราษฎร” ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบบรัฐสภา จนถึงทุกวันนี้ นั้น ความจริงแล้วหาใช่ระบอบประชาธิปไตยไม่
เป็นเพียงระบอบเผด็จการรัฐสภาเท่านั้น จะเห็นได้ว่า ทางเศรษฐกิจได้เกิดการเอารัดเอาเปรียบอย่างกว้างขวาง เรียกว่า “ระบบผูกขาด”
ประชาชนยากจนลง เป็นลำดับซึ่งไม่ต่างกับประชาชนในประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 ดังนั้น การปฏิวัติของคณะราษฎร
โดยแท้จริงแล้วก็คือ การปฏิวัติของขบวนการประชาธิปไตยปลอม หรือขบวนการปฏิวัติซ้อน
นั่นเอง เพราะในสมัยนั้นมีขบวนการปฏิวัติจริงอยู่แล้วคือ ขบวนการของรัชกาลที่
7 ซึ่งทรงทำการปฏิวัติแบบ สันติค่อยเป็นค่อยไป แต่ขบวนการปฏิวัติซ้อนฉวยโอกาสตัดหน้าไปเสียก่อน
ดังนั้น ผลที่ออกมาก็คือ ประชาธิปไตยปลอม นั่นเอง เพราะทำการปฎิวัติจาก ขบวนการประชาธิปไตยปลอม
ฉะนั้น การปฏิวัติ ใหญ่ในปี 2475 ของประเทศไทย
จึงไม่ใข่การปฏิวัติครั้งสุดท้าย ประเทศไทย จะต้องมีการ ปฏิวัติใหญ่ เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน
ขบวนการปฏิวัติซ้อน
ดังได้กล่าวแล้วว่า เป็นปัญหาทางทฤษฏี เป็นปรากฎการณ์ภายในที่มอง ไม่เห็น ฝ่ายปฏิวัติจริงมักจะไม่เข้าใจกัน เพราะเข้าใจยาก
และมักจะไม่มีใครยอมเชื่อด้วย เพราะถือว่า ฝ่ายปฏิวัติย่อมถูกหมด
มองว่าเป็นพวกเดียวกัน ถ้าใครมามองที่ตรงจุดนี้ เข้ามักจะถูกโจมตีว่าเป็นพวก ขัดขวางปฏิวัติบ้าง เป็นพวกทำลายความสามัคคีบ้าง เป็นต้น
โดยไม่เข้าใจว่าในขบวนการปฏิวัตินั้น มีทั้งฝ่ายผิดและฝ่ายถูก
ฝ่ายผิดแท้จริงก็คือกำลังที่เป็นของฝ่ายปฏิกิริยา
หาใช่เป็นกำลังให้แก่ฝ่ายปฏิวัติ ไม่ แม้ว่าจะอ้างชื่อเป็นขบวนการประชาธิปไตยก็ตาม ฉะนั้น ถ้านักปฏิวัติไม่เข้าใจปัญหานี้
เป็น อันตรายที่สุด
การปฏิวัติ
ยุทธวิธีที่สำคัญประการหนึ่งคือ การเสนอความจริงหรือความถูกต้องต่อประชาชน การปิดบังอำพรางความจริงต่อประชาชนย่อมถือเป็นข้อห้ามของนักปฏิวัติ
เพราะเป็นการส่อให้เห็นถึง ลักษณะเจตนาไม่บริสุทธิ์ใจต่อประชาชนเสียแล้ว
ย่อมจะขาดคุณสมบัติของนักปฏิวัติประชาธิปไตย ไปทันที
ซึ่งต่างจากขบวนการปฏิวัติซ้อนเป็นขบวนการที่ไม่ต้องการให้ความจริงแก่ประชาชน
เพราะ ในส่วนลึกของพวกนี้จะรักษาความไม่ถูกต้องไว้ จึงมักจะมีข้ออ้างต่างๆ
ไม่ยอมให้ฝ่ายถูกชี้ผิดชี้ถูก ต่อประชาชน
แท้จริงก็คือการยึดถือหลักการของระบอบเผด็จการเอาไว้ หาใช่ถือหลักการของ ประชาชนไม่ โดยเฉพาะเพื่อการตบตาหลอกประชาชนให้แนบเนียนยิ่งขึ้น ขบวนการปฏิวัติซ้อน จึงมักแสดงเคร่งหรือเอาจริงเอาจังเกินกว่าปกติ ทำนองเดียวกับพวกอลัชชีมักจะเคร่งกว่าพระ และ ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ
นักเคลื่อนไหวที่ชอบด่าฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสะใจผู้ฟัง และด่าอย่างเดียว นั้น นั่นแหละพวกเคาเตอร์ตัวจริง ฉะนั้น
บุคคลที่ทำอะไรเคร่งครัดเกินกว่าปกติ นั่นคือคุณสมบัติที่แท้ จริงของพวกปฏิวัติซ้อน
ถ้าขบวนการปฏิวัติปล่อยให้สิ่งผิดครอบงำโดยไม่แก้ไข
จึงเรียกว่า “ปฏิวัติเพื่อปราบปฏิวัติ” คือ ฝ่ายผิดปราบฝ่ายถูกนั่นเอง
หลักประกันความสำเร็จของการปฏิวัติจึงมีอย่างเดียว คือ ขจัดขบวนการ ปฏิวัติซ้อนให้หมดสิ้น ไม่มีการประนีประนอมเด็ดขาด เพราะความไม่ถูกต้อง เป็นพื้นฐานของการ แตกสามัคคี ที่ไหนมีความไม่ถูกต้องที่นั่นย่อมแตกความสามัคคี
การทำลายขบวนการปฏิวัติซ้อนในบ้านเราง่าย
ไม่เหมือนต่างประเทศ เพราะฝ่ายปฏิวัติซ้อน ในบ้านเราไม่มีทฤษฏีเป็นอาวุธจึงไม่เข้มแข็ง
พวกปฏิวัติซ้อนในต่างประเทศ มักมีทฤษฏีเป็นเครื่องมือ จึงเข้มแข็งมาก ฝ่ายปฏิวัติจึงทำลายยาก
การต่อสู้กับขบวนการปฏิวัติซ้อน มิใช่การอธิบายความไม่ ถูกต้องต่อ พวกปฏิวัติซ้อน การต่อสู้ชนิดนี้จะไม่ได้ผล การต่อสู้ที่ได้ผลก็คือ
การอธิบายต่อประชาชน
ในขบวนการปฏิวัติย่อมมีขบวนการปฏิวัติซ้อนอยู่ด้วยฉันใด
และขบวนการปฏิวัติซ้อนเป็น กำลังให้แก่ขบวนการปฏิกิริยาฉันใด ในขบวนการเผด็จการ ก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีขบวนการเผด็จการ ซ้อนอยู่ด้วยฉันนั้น และขบวนการเผด็จการซ้อน
ย่อมเป็นกำลังให้แก่ขบวนการปฏิวัติ ด้วยฉันนั้น เช่นกัน ฉะนั้น นักปฏิวัติประชาธิปไตยนอกจากจะต้องรู้ว่า
มีขบวนการปฏิวัติซ้อนซึ่งจะต้องขจัดแล้ว จะต้องรู้จักการใช้ประโยชน์จากขบวนการปฏิกิริยาซ้อนให้เป็นประโยชน์แก่ขบวนการปฏิวัติด้วย
ขบวนการปฏิวัติจึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น