วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติ (ลัทธิฉวยโอกาส)


ขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติ (ลัทธิฉวยโอกาส)
(Counter Revolutionary Movement)

            การปฏิวัติ เป็นกฎของการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ หรือสังคม เป็นการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งไม่ดีไปสู่สิ่งที่ดีกว่า นักปฏิวัติ คือ ผู้ที่รู้ว่าธรรมชาติ ย่อมมีกฎ เกณฑ์ และรู้ว่าสังคมมนุษย์ต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่การรู้ว่าสังคมต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเดียว ไม่พอ จะต้องรู้ว่าในกระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้น มีลักษณะพิเศษชนิดหนึ่งเรียกว่า “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” (Counter Revolution) หรือ “ปฏิวัติซ้อน” อยู่ด้วย
            ปฏิวัติซ้อน คือ ปัญหาของการปฏิวัติ เป็นความผิดถูกในขบวนปฏิวัติ แต่เป็นปรากฏการณ์ ภายใน มิใช่ปรากฏการณ์ภายนอก ฉะนั้น จึงเข้าใจยาก ซึ่งการจะเข้าใจได้ต้องอาศัย ความรู้ทางทฤษฏี เท่านั้น เพราะเป็นปัญหาของความคิดที่เรียกว่า “แนวความคิด” (Line of Thought) ซึ่งเป็นแนวความ คิที่ต่างกับแนวปฏิวัติ ปัญหานี้เป็นปัญหาสำคัญที่สุดของการปฏิวัติ เพราะเป็น ปัญหาชี้ขาดของการ ปฏิวัติ ดังนั้น นักปฏิวัติเงื่อนไขแรกที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องเข้าใจว่า ในการปฏิวัตินั้น ย่อมต้องมีการ ปฏิวัติซ้อน และในขบวนการปฏิวัติจึงมีทั้งฝ่ายถูกและฝ่ายผิดร่วมกันอยู่ คือมีทั้งฝ่ายปฏิวัติจริง และ ฝ่ายปฏิวัติปลอม มิใช่ว่าในขบวนการปฏิวัติแล้ว ต้องมีแต่นักปฏิวัติเพียงอย่างเดียว ถ้าเข้าใจว่าใน ขบวนการปฏิวัติย่อมเป็นฝ่ายถูกทั้งหมด ก็จะเป็นการเข้าใจผิดพลาดอย่างแรง และความเข้าใจผิด พลาดนี้ จะนำไปสู่ความผิดพลาดถึงขั้นล้มเหลวของการปฏิวัติ และความฉิบหายล่มจมของขบวนการ ปฏิวัติทั้งขบวนด้วย
            เพื่อความเข้าใจในปัญหานี้ จะต้องทำความเข้าใจกับขบวนการเมือง (Political Movement) ที่สำคัญคือ ขบวนการเผด็จการ และ ขบวนการประชาธิปไตย
            ขบวนการเผด็จการ เป็นขบวนการล้าหลัง (Back Ward) ขบวนการประชาธิปไตย เป็น ขบวนกาก้าวหน้า (Progressive) นัยหนึ่ง ขบวนการเผด็จการเป็นขบวนการปฏิกิริยา (Reactionary) ขบวนการประชาธิปไตยเป็นขบวนการปฏิวัติ (Revolutionary)
            ในขบวนการปฏิวัติยังสามารถแยกออกได้เป็น 2 ชนิด คือ การปฏิวัติประชาธิปไตย (Democratic Revolution) และ การปฏิวัติสังคมนิยม (Socialist Revolution) เหตุที่จัดขบวนการ ปฏิวัติสังคมนิยมอยู่ในขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตย เพราะขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถทำการปฏิวัติสังคมนิยม จึงต้องเข้าร่วมทำการปฏิวัติประชาธิปไตย กับขบวนการ ประชาธิปไตยก่อน แต่ก็เป็นปัญหาเพียงด้านภารกิจเท่านั้น มิใช่จุดหมายปลายทาง
            ขบวนการปฏิวัตนั้น นอกจากจะจำแนกเป็นขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตย และขบวนการ ปฏิวัติสังคมนิยมแล้ว ยังจำแนกเป็น ขบวนการปฏิวัติ (Revolutionary Movement) และ ขบวนการ ปฏิวัติซ้อน (Counter Revolutionary Movement) อีกด้วย
            ขบวนการปฏิวัติซ้อน โดยรูปแบบเป็นขบวนการปฏิวัติ ไม่ใช่ขบวนการปฏิกิริยา เป็นขบวน การก้าวหน้า ไม่ใช่ขบวนการล้าหลัง แต่โดยเนื้อแท้ต่างกับขบวนการปฏิวัติ เพราะมีแนวทางและ นโยบายส่งเสริมแก่ระบอบเผด็จการ แต่มีเจตนารมณ์ประชาธิปไตย เช่นเดียวกับขบวนการ ประชาธิปไตย ฉะนั้น บทบาทของขบวนการปฏิวัติซ้อน คือ เป็นหลักค้ำของระบอบเผด็จการ และทำลายประชาธิปไตย เพราะว่า ขบวนการณ์เหล่านี้ไม่มีการนำของตนเอง หากแต่ต้องอาศัย การนำของขบวนการอื่นๆ เช่น การนำของพรรคคอมมิวนิสต์บ้าง การนำของพรรคเผด็จการบ้าง
            ระบอบเผด็จการ ความจริงหาได้มีความเข้มแข็งแต่อย่างใดไม่ เพราะเป็นอำนาจของคน ส่วนน้อย แต่ที่ระบอบเผด็จการสามารถดำรงอยู่ได้นั้น ก็เพราะบทบาทของขบวนการปฏิวัติซ้อน หรือประชาธิปไตยปลอมนี่เอง ฉะนั้น ขบวนการประชาธิปไตยปลอม จึงเป็นอุปสรรคของการปฏิวัติ ประชาธิปไตยอย่างที่สุด เพราะเป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติที่คอยปกป้องระบอบเผด็จการ การปฏิวัติจะเป็นไป ได้หรือไม่ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการต่อสู้ระหว่าง ขบวนการเผด็จการ กับ ขบวนการประชาธิปไตย เป็น สำคัญ แต่ขึ้นอยู่กับการต่อสู้ระหว่างขบวนการประชาธิปไตย กับขบวนการประชาธิปไตยปลอมเป็น สำคัญ และเหตุที่การปฏิวัติประชาธิปไตยบ้านเราล้มเหลวมาตลอดก็เพราะสาเหตุตรงจุดนี้นั่นเอง
            ในสถานการณ์ปฏิวัติยังมาไม่ถึงปัญหานี้จะไม่ค่อยมี แต่ถ้าสถานการณ์ปฏิวัติใกล้จะมาถึง ความขัดแย้งของขบวนการปฏิวัติซ้อนจะแสดงบทบาทปฏิปักษ์ปฏิวัติอย่างรุนแรง ในสถานการณ์ เช่นนี้ ถ้าขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตยไม่สามารถขจัดขบวนการปฏิวัติซ้อนให้หมดสิ้นได้ การปฏิวัติ ก็จะล้มเหลว และฝ่ายปฏิวัติก็จะถูกทำลายหรือไม่ก็จะได้รับความเสียหายอย่างที่สุด
            จากประวัติศาสตร์การปฏิวัติของประเทศต่างๆ ความล้มเหลวของขบวนการปฏิวัติ เพราะเนื่อง มาจากไม่เข้าใจขบวนการปฏิวัติซ้อนมีให้เห็นเป็นอุทธาหรณ์มากมาย ยกตัวอย่างเช่น การปฏิวัติของ จีน เมื่อพ.ศ. 2460 ซึ่งขบวนการปฏิวัตินำโดยพรรค “ก๊กมินตั๋ง” มี ดร. ซุนยัดเซ็น เป็นผู้นำการปฏิวัติ ประชาธิปไตย ต้องการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของจีน ต้องการปฏิรูปที่ดินโดย ดร. ซุนยัดเซ็น ได้กำหนดทฤษฏีที่ถูกต้องสมบูรณ์ และประยุกต์เข้ากับสภาพของประเทศจีน เรียกว่า “ลัทธิไตรราษฎร” หมายถึงหลัก 3 ประการ คือ 1) ลัทธิชาตินิยม 2) ลัทธิประชาธิปไตย 3) ลัทธิการ ครองชีพของประชาชน ดูเหมือนว่าการปฏิวัติของ ดร. ซุนยัดเซ็น จะสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะ ประชาชนให้การสนับสนุนอย่างกว้างขวาง ขบวนการปฏิวัติของ ดร. ซุนยัดเซ็น จึงสามารถโค่นล้ม ขบวนการปฏิกิริยาของ พระนางซูสีไทเฮา ลงได้
            แต่พออยู่มาเพียง 10 ปีเท่านั้น การปฏิวัติของ ดร. ซุนยัดเซ็น ต้องล้มเหลวและนักปฏิวัติใน ขบวนการของ ดร. ซุนยัดเซ็น ถูกทำลายจนสิ้น เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะใน ขบวนการปฏิวัติมี ขบวน ปฏิวัติซ้อน อยู่ด้วย โดยพรรค “ก๊กมินตั๋ง” ได้รวบรวมเอาบุคคลทั้งฝ่ายผิดและฝ่ายถูกไว้ในขบวนการ เดียวกัน แม้จะรู้อยู่ว่ามีทั้งฝ่ายผิดฝ่ายถูกแต่เห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน จึงไม่ขจัดฝ่ายผิดให้หมด ปล่อยให้ ฝ่ายผิดอย่างเช่น เจียงไคเช็ค ขยายตัวเติบโตได้ เพราะเห็นว่า เจียงไคเช็ค ได้ไปศึกษาเล่าเรียนการ ปฏิวัติมาจากโซเวียต มีคุณสมบัติเพรียบพร้อมสำหรับการปฏิวัติ ดร. ซุนยัดเซ็น จึงแต่งตั้งให้เป็นนาย ทหาร แต่ภายในจิตใจของเจียงไคเช็คมีความทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่
            เมื่อขบวนการประชาธิปไตย โค่นล้มขบวนการเผด็จการของพระนางซูสีไทเฮาลงได้ และ ดร. ซุนยัดเซ็น เสียชีวิต เจียงไคเช็คจึงสบโอกาสปราบนักประชาธิปไตย โดยอาศัยข้ออ้างว่าปราบ คอมมิวนิสต์ เพื่อปราบนักประชาธิปไตย แต่จริงๆ แล้วคอมมิวนิสต์ไม่ได้ถูกปราบ ทำให้พวก ประชาธิปไตยคือพวก “ก๊กมินตั๋ง” ถูกฆ่าตายเกีอบหมด ส่วนหนึ่งได้หนีตายมาทางทะเลใต้ และเข้า ประเทศไทย ก็คือกองพล 93 ของ ดร. ซุนยัดเซ็น นั่นเอง
            ผลสุดท้ายประเทศจีน จึงเหลือแต่คู่ต่อสู้ระหว่างเจียงไคเช็ค ซึ่งกลายเป็น ขบวนการเผด็จการ กับ ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม ของเหมาเจ๋อตุงเท่านั้น และผลก็คือ ขบวนการเผด็จการก็แพ้ ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยมในที่สุด ถ้าขบวนการประชาธิปไตยไม่ถูกขบวนการปฏิวัติซ้อนทำลาย ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยมจะไม่มีโอกาสทำการปฏิวัติได้สำเร็จอย่างแน่นอน นี่คือตัวอย่าง ขอฝ่าย ปฏิวัติที่ไม่เข้าใจฝ่ายปฏิวัติซ้อน
            โดยเฉพาะจะเห็นได้ว่า ฝ่ายปฏิวัติปราบฝ่ายปฏิวัตินั้นมีความรุนแรงที่สุด รุนแรงยิ่งกว่าฝ่าย ปฏิกิริยาปราบฝ่ายปฏิวัติเสียอีก เพราะฝ่ายปฏิกิริยาไม่ค่อยมีกำลังจึงมักไม่รุนแรง แต่ฝ่ายปฏิวัติซ้อน มีกำลังจึงมักรุนแรง โดยเฉพาะฝ่ายปฏิวัติด้วยกัน จึงต่างรู้ทันกัน จึงมักถูกทำลาย อย่างรุนแรง
            มีหลายประเทศต้องการทำปฏิวัติหลายครั้ง จึงปฏิวัติสำเร็จ เหตุที่การปฏิวัติ ไม่สำเร็จในครั้ง เดียวก็เพราะ บทบาทของการปฏิวัติซ้อนเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ เช่น ประเทศอังกฤษต้องทำการ ปฏิวัติใหญ่อยู่หลายครั้งจึงประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างปฏิวัติใหญ่ปี ค.ศ. 1640 ล้มเหลว การปฏิวัติ ใหญ่ในปี ค.ศ. 1648 ล้มเหลว และการปฏิวัติที่โด่งดังที่สุดในปี ค.ศ. 1688 ข้าราชการและประชาชน เข้าร่วมการปฏิวัติครั้งใหญ่ เปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ใน ระบบรัฐสภาแล้ว แต่อังกฤษก็ยังปฏิวัติไม่เสร็จอีก เพราะกลายเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาไปเสียอีก ในทางเศรษฐกิจจึงเกิดเป็นระบบผูกขาดทำให้ประชาชนยากจนลง
            จนปี ค.ศ. 1837 ได้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่เพื่อขจัดการผูกขาด นำโดย ขบวนการชาร์ติสต์ เรียกร้อง “กฎบัตรของประชาชน” หรือที่เรียกว่า “ญัตติ 6 ประการ” ประเทศอังกฤษ จึงประสบความ สำเร็จของการปฏิวัติประชาธิปไตย หรืออย่างการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส ก็ต้องทำการปฏิวัติใหญ่อยู่ หลายครั้งเช่นกัน เช่น การปฏิวัติใหญ่ในปี ค.ศ. 1789 ซึ่งเรียกว่า “มหาปฏิวัติฝรั่งเศส” (Great Frence Revolution) การปฏิวัติใหญ่ในปี ค.ศ. 1848 จากการกำเนิดขึ้นของลัทธิคอมมิวนิสต์ และการปฏิวัติ ใหญ่ปี ค.ศ. 1871 จากการต่อสู้กันของรัฐบาลปารีส คอมมูน กับรัฐบาลแวซาย ซึ่งมีกรรมกร ล้มตาย ประมาณ 1 แสนคน การปฏิวัติฝรั่งเศสจึงประสบความสำเร็จ
            สำหรับการปฏิวัติของประเทศไทย มีการปฏิวัติใหญ่ในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งนำโดย “คณะราษฎร” ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบบรัฐสภา จนถึงทุกวันนี้ นั้น ความจริงแล้วหาใช่ระบอบประชาธิปไตยไม่ เป็นเพียงระบอบเผด็จการรัฐสภาเท่านั้น จะเห็นได้ว่า ทางเศรษฐกิจได้เกิดการเอารัดเอาเปรียบอย่างกว้างขวาง เรียกว่า “ระบบผูกขาด” ประชาชนยากจนลง เป็นลำดับซึ่งไม่ต่างกับประชาชนในประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 ดังนั้น การปฏิวัติของคณะราษฎร โดยแท้จริงแล้วก็คือ การปฏิวัติของขบวนการประชาธิปไตยปลอม หรือขบวนการปฏิวัติซ้อน นั่นเอง เพราะในสมัยนั้นมีขบวนการปฏิวัติจริงอยู่แล้วคือ ขบวนการของรัชกาลที่ 7 ซึ่งทรงทำการปฏิวัติแบบ สันติค่อยเป็นค่อยไป แต่ขบวนการปฏิวัติซ้อนฉวยโอกาสตัดหน้าไปเสียก่อน ดังนั้น ผลที่ออกมาก็คือ ประชาธิปไตยปลอม นั่นเอง เพราะทำการปฎิวัติจาก ขบวนการประชาธิปไตยปลอม ฉะนั้น การปฏิวัติ ใหญ่ในปี 2475 ของประเทศไทย จึงไม่ใข่การปฏิวัติครั้งสุดท้าย ประเทศไทย จะต้องมีการ ปฏิวัติใหญ่ เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน
            ขบวนการปฏิวัติซ้อน ดังได้กล่าวแล้วว่า เป็นปัญหาทางทฤษฏี เป็นปรากฎการณ์ภายในที่มอง ไม่เห็น ฝ่ายปฏิวัติจริงมักจะไม่เข้าใจกัน เพราะเข้าใจยาก และมักจะไม่มีใครยอมเชื่อด้วย เพราะถือว่า ฝ่ายปฏิวัติย่อมถูกหมด มองว่าเป็นพวกเดียวกัน ถ้าใครมามองที่ตรงจุดนี้ เข้ามักจะถูกโจมตีว่าเป็นพวก ขัดขวางปฏิวัติบ้าง เป็นพวกทำลายความสามัคคีบ้าง เป็นต้น โดยไม่เข้าใจว่าในขบวนการปฏิวัตินั้น มีทั้งฝ่ายผิดและฝ่ายถูก ฝ่ายผิดแท้จริงก็คือกำลังที่เป็นของฝ่ายปฏิกิริยา หาใช่เป็นกำลังให้แก่ฝ่ายปฏิวัติ ไม่ แม้ว่าจะอ้างชื่อเป็นขบวนการประชาธิปไตยก็ตาม ฉะนั้น ถ้านักปฏิวัติไม่เข้าใจปัญหานี้ เป็น อันตรายที่สุด
            การปฏิวัติ ยุทธวิธีที่สำคัญประการหนึ่งคือ การเสนอความจริงหรือความถูกต้องต่อประชาชน การปิดบังอำพรางความจริงต่อประชาชนย่อมถือเป็นข้อห้ามของนักปฏิวัติ เพราะเป็นการส่อให้เห็นถึง ลักษณะเจตนาไม่บริสุทธิ์ใจต่อประชาชนเสียแล้ว ย่อมจะขาดคุณสมบัติของนักปฏิวัติประชาธิปไตย ไปทันที ซึ่งต่างจากขบวนการปฏิวัติซ้อนเป็นขบวนการที่ไม่ต้องการให้ความจริงแก่ประชาชน เพราะ ในส่วนลึกของพวกนี้จะรักษาความไม่ถูกต้องไว้ จึงมักจะมีข้ออ้างต่างๆ ไม่ยอมให้ฝ่ายถูกชี้ผิดชี้ถูก ต่อประชาชน แท้จริงก็คือการยึดถือหลักการของระบอบเผด็จการเอาไว้ หาใช่ถือหลักการของ ประชาชนไม่ โดยเฉพาะเพื่อการตบตาหลอกประชาชนให้แนบเนียนยิ่งขึ้น ขบวนการปฏิวัติซ้อน จึงมักแสดงเคร่งหรือเอาจริงเอาจังเกินกว่าปกติ ทำนองเดียวกับพวกอลัชชีมักจะเคร่งกว่าพระ และ ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ นักเคลื่อนไหวที่ชอบด่าฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสะใจผู้ฟัง และด่าอย่างเดียว นั้น นั่นแหละพวกเคาเตอร์ตัวจริง ฉะนั้น บุคคลที่ทำอะไรเคร่งครัดเกินกว่าปกติ นั่นคือคุณสมบัติที่แท้ จริงของพวกปฏิวัติซ้อน
            ถ้าขบวนการปฏิวัติปล่อยให้สิ่งผิดครอบงำโดยไม่แก้ไข จึงเรียกว่า “ปฏิวัติเพื่อปราบปฏิวัติ” คือ ฝ่ายผิดปราบฝ่ายถูกนั่นเอง หลักประกันความสำเร็จของการปฏิวัติจึงมีอย่างเดียว คือ ขจัดขบวนการ ปฏิวัติซ้อนให้หมดสิ้น ไม่มีการประนีประนอมเด็ดขาด เพราะความไม่ถูกต้อง เป็นพื้นฐานของการ แตกสามัคคี ที่ไหนมีความไม่ถูกต้องที่นั่นย่อมแตกความสามัคคี
            การทำลายขบวนการปฏิวัติซ้อนในบ้านเราง่าย ไม่เหมือนต่างประเทศ เพราะฝ่ายปฏิวัติซ้อน ในบ้านเราไม่มีทฤษฏีเป็นอาวุธจึงไม่เข้มแข็ง พวกปฏิวัติซ้อนในต่างประเทศ มักมีทฤษฏีเป็นเครื่องมือ จึงเข้มแข็งมาก ฝ่ายปฏิวัติจึงทำลายยาก การต่อสู้กับขบวนการปฏิวัติซ้อน มิใช่การอธิบายความไม่ ถูกต้องต่อ พวกปฏิวัติซ้อน การต่อสู้ชนิดนี้จะไม่ได้ผล การต่อสู้ที่ได้ผลก็คือ การอธิบายต่อประชาชน
            ในขบวนการปฏิวัติย่อมมีขบวนการปฏิวัติซ้อนอยู่ด้วยฉันใด และขบวนการปฏิวัติซ้อนเป็น กำลังให้แก่ขบวนการปฏิกิริยาฉันใด ในขบวนการเผด็จการ ก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีขบวนการเผด็จการ ซ้อนอยู่ด้วยฉันนั้น และขบวนการเผด็จการซ้อน ย่อมเป็นกำลังให้แก่ขบวนการปฏิวัติ ด้วยฉันนั้น เช่นกัน ฉะนั้น นักปฏิวัติประชาธิปไตยนอกจากจะต้องรู้ว่า มีขบวนการปฏิวัติซ้อนซึ่งจะต้องขจัดแล้ว จะต้องรู้จักการใช้ประโยชน์จากขบวนการปฏิกิริยาซ้อนให้เป็นประโยชน์แก่ขบวนการปฏิวัติด้วย ขบวนการปฏิวัติจึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รัฐบาลแห่งชาติ (National Government)


รัฐบาลแห่งชาติ (National Government)


            รัฐบาลแห่งชาติ ตามวิชารัฐศาสตร์ หมายถึง รัฐบาลที่มีหลักการและองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้
            1) รัฐบาลแห่งชาติ หมายถึง “การปกครอง” (Government) ของ “รัฐ” (State) ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (Modern Ages) เท่านั้น ที่เรียกว่า “รัฐประชาชาติ” (National State) หรือ “รัฐแห่งชาติ” (State of Nation)
            รัฐในประวัติศาสตร์สมัยกลาง (Middle Ages) ไม่มี รัฐแห่งชาติ จึงไม่มีรัฐบาลแห่งชาติ เพราะ มีแต่ “รัฐเจ้าครองนคร” (Feudal State) แต่เรามักเรียกกันว่า รัฐศักดินา
            รัฐ หรือ State เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ได้มีการเปลี่ยนรูปของรัฐตามยุคสมัยเป็นลำดับมา ดังนี้
                   1. รัฐในสมัยกรีกโบราณ หรือ ยุคบรรพกาล  เรียกว่า นครรัฐ (City State)
                   2. รัฐในสมัยอาณาจักรโรมัน หรือ ยุคทาส เรียกว่า รัฐจักรวรรดิ์ (Empire State)
                   3. รัฐในสมัยเจ้าครองนคร หรือ ยุคกลาง เรียกว่า รัฐศักดินา (Feudal State)
                   4. รัฐในสมัยประชาชาติ หรือ ยุคใหม่ เรียกว่า รัฐแห่งชาติ (Nation State)
            ดังนั้น ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เมื่อ รัฐ เปลี่ยนรูปเป็น ชาติ แล้วจึงเกิด รัฐบาลแห่งชาติ ขึ้น
            2) รัฐบาลแห่งชาติ คือความคิดที่ยึดถือหลักวิชารัฐศาสตร์ที่ว่า ประเทศที่เป็นเอกราช เท่านั้น มี รัฐบาลแห่งชาติ (National Government) ได้ ส่วนรัฐบาลของรัฐที่ไม่ใช่เอกราช ไม่เรียกว่า รัฐบาลแห่ง ชาติ แต่เรียกรัฐบาลแห่งรัฐ (State Government) หรือรัฐบาลมลรัฐ หรือรัฐบาลสหพันธ์ (Federal Government) (ปัญหาเขาพระวิหารนั้น ต้องมาพูดกันที่ปัญหาประเทศกัมพูชาเป็นจังหวัดหนึ่งของไทย ซึ่งรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนจากรัฐเจ้าครองนครมาเป็น รัฐประชาชาติ (National State) ได้รับการคุ้มครอง ตามกฎหมายของรัฐแห่งชาติแล้ว (สหประชาชาติ) โดยรวมเอาเขมรในเป็นส่วนหนึ่งด้วย จึงทำให้ เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย แต่นักการเมืองไม่เข้าใจปัญหานี้ จึงแพ้กัมพูชาตลอดมา)
            3) ชาติเอกราชย่อมมี รัฐแห่งชาติ (Nation State) หรือเรียกว่า “รัฐประชาชาติ” และ รัฐบาล (Government) ของรัฐแห่งชาติก็คือ รัฐบาลแห่งชาติ (National Government) กัมพูชาไม่เคยเป็นชาติ เอกราชมาก่อน เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งของไทย หรือมณฑลหนึ่งของไทย เช่น เดียวกัน รัฐมอญเป็น มณฑลหนึ่งของพม่า เมื่อเป็นเอกราชจะมี รัฐแห่งชาติ มิได้ เว้นแต่ไทยอนุญาต ในสหประชาชาติ เท่านั้น และไม่อาจสืบสิทธิอาณาเขตจากฝรั่งเศสได้
            4) รัฐบาลแห่งชาติ เรียกอีกอย่างว่า รัฐบาลของชาติ หรือรัฐบาลของประเทศก็ได้ ในประเทศ หนึ่งๆ ย่อมมีรัฐบาลทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินเพียงรัฐบาลเดียว และรัฐบาลนั้นถ้าพูดตามหลัก วิชารัฐศาสตร์ก็คือ รัฐบาลแห่งชาติ
            ฉะนั้น รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน จึงล้วนเป็นรัฐบาลแห่งชาติทั้งสิ้น เช่นเดียวกับคำว่า กองทัพแห่งชาติ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งหมายความว่า มีแห่งเดียวในประเทศไทย แต่ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เขียนไว้ในคอลัมน์พินิจ การ เมือง หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ตอนหนึ่งว่า “...รัฐบาลแห่งชาติ เป็น รัฐบาลเฉพาะกิจ” เท่านั้น เมื่อ เหตุการณ์คลี่คลายกลับสู่สภาวะปกติ “รัฐบาลแห่งชาติ” ก็ต้องสลายตัวไป เพื่อให้ระบบการตอบสนอง สามารถทำงานได้ตามปกติ ต้องระลึกไว้เสมอว่าจะไม่มี “รัฐบาลแห่งชาติ” ในสภาวะปกติ !!”
            ก็ไม่รู้ว่าท่านเอาความเห็นนี้มาจากไหน เหลวไหลสิ้นดี?
            5)  รัฐบาลแห่งชาติ เป็นรัฐบาลของระบอบอะไรก็ได้ ขึ้นอยู่ที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของใคร เป็นรัฐบาลของระบอบสมบูรณาณาสิทธิราชย์ก็ได้ เป็นรัฐบาลของระบอบเผด็จการรัฐสภาก็ได้ เป็น รัฐบาลของระบอบประชาธิปไตยก็ได้
            6) เรามีรัฐบาลแห่งชาติชุดแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 คืรัฐบาลแห่งชาติของพระบาสมเด็พระจุลจอเกล้าเจ้าอยู่หัว
            ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงเปลี่ยนแปลง รัฐเจ้าครองนคร (Feudal State) เป็น รัฐแห่งชาติสยาม ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2435 โดยทรงรวบรวมแว่นแคว้นหัวเมืองชั้นนอก และชั้นในของไทย รวมทั้งอาณาเขต ลาวที่ลัดจากแคว้นสิบสองจุไท และหัวพันทั้งห้าทั้งหก และอาณาเขตเขมรใน มาเป็นอันหนึ่งอันเดียว กัน เรียกว่า “รัฐอาณาจักร” (Kingdom) หรือ รัฐเดียว (Unitary State) เราจึงมี รัฐบาลแห่งชาติ กำเนิด ขึ้นในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนถึง พ.ศ. 2475 เป็นเวลา 40 ปี และภายหลังเปลี่ยนแปลงการ ปกครองเป็น ระบอบปริมิตาญาสิทธิราชย์แล้ว เราก็ยังมี รัฐบาลแห่งชาติ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 78 ปี แต่เป็น รัฐบาลแห่งชาติของระบอบ เผด็จการรัฐสภา รวมแล้วเรามี รัฐบาลแห่งชาติ มานานกว่าศตวรรษแล้ว ไม่ใช่ว่ายังไม่เคยมี รัฐบาลแห่งชาติ เพียงแต่เรายังไม่เคยมีรัฐบาลแห่งชาติของ ระบอบประชาธิปไตย (Democratic Regime) เหมือนกับในประเทศอื่นเขาเท่านั้น รวมความว่า รัฐบาลทุกชุดที่เป็น รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดิน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มาจนถึงปัจจุบัน ล้วนเป็นรัฐบาลของชาติทั้งสิ้น
            7) คำว่า “รัฐบาลแห่งชาติ” มาจากคำอังกฤษว่า “National Government” คำว่า Government แปลว่า “การปกครอง” ดังนั้น รัฐบาลแห่งชาติในความหมายที่สำคัญ หมายถึง “การปกครองแห่งชาติ” มิใช่หมายถึง คณะรัฐมนตรี เพราะคำว่า “การปกครอง” (Government) นั้น เรียกเป็นศัพท์บาลีว่า “รัฐบาล” แม้ว่าบางทีเราจะใช้คำว่า “รัฐบาล” แทนคำว่า “รัฐมนตรี” (Cabinet) แต่ต้องเข้าใจว่า “Government” นั้นมิใช่ “Cabinet” และ Government เป็นเรื่องหลักการ ส่วน Cabinet เป็นเรื่อง บุคคล จะเอามาปะปนกันไม่ได้ เหตุที่การเมืองบ้านเราที่มีปัญหายุ่งยากกันในทุกวันนี้ ก็เพราะนัก วิชาการ มักจะเอาคำ 2 คำนี้มาปะปนกัน จนกระทั่ง รัฐบาลแห่งชาติ หมายความว่าอะไร ก็ยังไม่รู้เลย
            8) คำว่า “การปกครอง” (Government) นั้น หมายความรวมถึง องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตย ทั้งหมด ซึ่งรวมทั้ง “รูปการปกครอง” (Form of Government) และ “หลักการปกครอง” (Principle of Government) ถ้าขาดข้างหนึ่งข้างใดก็จะไม่ใช่ การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democratic Government)  การปกครองบ้านเราผิดทั้งรูปการปกครอง และหลักการปกครอง แต่นักวิชาการ ก็ไม่เข้าใจเพราะไม่มีความรู้
            รูปการปกครอง เช่น รัฐสภา ระบอบรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตลอดจนกลไกต่างๆ ของรัฐ อาทิเช่น กองทัพ ระบบราชการ รวมถึงรูปแบบและวิธีการต่างๆ เช่น การเลือกตั้ง และ รัฐธรรมนูญ ฯลฯ
            หลักการปกครอง ก็คือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ หลักนิติธรรม และรัฐบาล หรือ การปกครอง จากการเลือกตั้ง

รัฐบาลเฉพาะกาล


รัฐบาลเฉพาะกาล

            คำว่า รัฐบาลเฉพาะกาล มาจากคำอังกฤษว่า Provisional Government หรือจะเรียกว่า รัฐบาล ชั่วคราว (Interim Government) ก็ได้
            รัฐบาลเฉพาะกาล คือ เครื่องชี้ขาดความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น การ เปลี่ยนแปลงระบอบเผด็จการให้เป็นระบอบประชาธิปไตย เพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะ ความสำเร็จได้ ต้องใช้รัฐบาลเฉพาะกาลเท่านั้น เป็นรัฐบาลของประชาชนจึงมีอำนาจมากที่สุด ไม่ใช่ รัฐบาลตามปกติ หรือรัฐบาลรักษาการณ์ (Caretaker Government) ซึ่งไม่มีอำนาจ
            ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์หนึ่งไปสู่อีกสถานการณ์หนึ่งนั้น ขึ้นอยู่กับ ความสำเร็จของระยะผ่าน (Transitional Periods) หรือที่เราเรียกกันว่า “ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ” (Turning Point)
            ความสำเร็จของระยะผ่าน จึงขึ้นอยู่กับความสำเร็จของ การปกครองในระยะผ่าน ซึ่งก็คือ รัฐบาลเฉพาะกาล
            นักวิชาการก็ยังไม่เข้าใจว่ารัฐบาลเฉพาะกาลเป็นอย่างไร เช่น ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ พูดไว้ใน โพสต์ทูเดย์ว่า … รัฐบาลแห่งชาติเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเท่านั้น เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายกลับสู่สภาวะปกติ รัฐบาลแห่งชาติก็ต้องสลายตัวไปเพื่อให้ระบบการตรวจสอบสามารถทำงานได้ตามปกติ ต้องระลึกไว้ เสมอว่าจะไม่มีรัฐบาลแห่งชาติในสภาวะปกติ ถ้าเรามีนักวิชาการเช่นนี้ ก็ถือเป็นเวรกรรมประเทศ

         
            รัฐบาลที่มีบทบาทในการแก้วิกฤติของชาติได้นั้น ต้องมีฐานะเป็น “รัฐบาลเฉพาะกาล” (Provisional Government) เท่านั้น เป็นรัฐบาลที่มีภารกิจพิเศษเฉพาะแต่เป็นการชั่วคราว กล่าวคือ เมื่อ ปฏิบัติหน้าที่ภารกิจพิเศษเสร็จสิ้นแล้ว ก็ต้องยุบตัวเอง แล้วเปิดให้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง (Elected Government) เข้ามารับหน้าที่บริหารประเทศต่อไป จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รัฐบาลชั่วคราว (Interim)
            รัฐบาลเฉพาะกาล เป็นรัฐบาลชนิดหนึ่งของหลักวิชารัฐศาสตร์ ที่จัดตั้งขึ้นในยามที่บ้านเมืองมี ความจำเป็นมีวิกฤติทั่วไปเท่านั้น คือต้องมีรัฐบาลชนิดนี้เท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาของชาติได้ เช่น การ รักษาความมั่นคงของชาติ การสงคราม การเปลี่ยนแปลงการปกครอง การสร้างประชาธิปไตย การฟื้นฟูหลังเหตุการณ์วิกฤติทางการเมือง เพราะรัฐบาลชนิดนี้มีประชาชนเป็นกำลังจึงมีอำนาจมาก ที่สุด
            แต่รัฐบาลชนิดนี้สำหรับบ้านเรา ระบอบเผด็จการซึ่งเป็นอำนาจของชนส่วนน้อยจะไม่ยอมให้ มีรัฐบาลเฉพาะกาลเกิดขึ้น เพราะกลัวเสียอำนาจ จึงใช้วิธีการทำลายการจัดตั้งรัฐบาลชนิดนี้ ทำลาย สภาองคมนตรีของ ร.7 ทำลายสภาปฏิวัติแห่งชาติ กล่าวหาว่า การปฏิวัติเป็นความรุนแรง การปฏิรูป เป็นความสันติ และเป็นเผด็จการเพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลรักษาการณ์เป็นต้น

หน้าที่ 2 เรื่องการกระจายอำนาจ


นักวิชาการและนักการเมืองหลอกประชาชนว่าการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นการกระจายอำนาจเพื่อสร้างประชาธิปไตย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยไม่เห็นด้วยก็ถูกกล่าวหาว่าหวงอำนาจ เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก เคยตั้งปัญหาไว้ว่า การกระจายอำนาจคืออะไร?แต่ก็ยังไม่มีใครตอบปัญหานี้ได้
           

พี่น้องประชาชนครับ ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ต้องการคำตอบว่า การกระจายอำนาจคืออะไร? เท่านั้นครับ ยังต้องการคำตอบในอีกหลายปัญหา เช่น การรวมศูนย์อำนาจคืออะไร? อำนาจทั้งหมดของรัฐประกอบด้วย อำนาจอะไรบ้าง? อำนาจแต่ละอำนาจแตกต่างกันอย่างไร? และแต่ละอำนาจกระจายอย่างไร? กระจายอำนาจเพื่อสร้างประชาธิปไตยคืออะไร? เพราะอำนาจมีหลายอำนาจ คือ
           
         1.อำนาจรัฐ (State Power)คือ อำนาจของสูงสุด และรวมอำนาจทุกอำนาจไว้ ตั้งแต่อำนาจอธิปไตยตามลำดับลงมาถึงอำนาจสังคม
           
           2.อำนาจอธิปไตย (Sovereignty หรือ Sovereign Power หรือ Supreme Power of State)คือ อำนาจสูงสุดของรัฐหรือประเทศ เป็นเพียงอำนาจเดียวที่รุนแรงและเด็ดขาด สมัยโบราณเชื่อกันว่า อำนาจนี้มาจากพระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ถือและใช้อำนาจนี้แต่เพียงผู้เดียว แต่สมัยนี้หลังจากที่มีลัทธิประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกแล้ว ทำให้โลกรู้ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Sovereignty of the People) อำนาจอธิปไตยแสดงออกใน 3 รูปคือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ และแสดงออกมาในทางองค์กร คือ รัฐสภา คณะรัฐบาล และศาล
           
              3.อำนาจการปกครอง หรือ อำนาจบริหาร (Administrative Power) คืออำนาจรัฐระดับต่างๆ ลงมาจนถึงระดับท้องถิ่น ซึ่งประเทศไทยได้แบ่งอำนาจการปกครอง หรืออำนาจบริหารออกเป็น 3 ส่วน ตามหลักวิชาของประเทศรัฐเดียว เรียกว่า ส่วนกลาง (Central) ส่วนภูมิภาค (Provincial) และส่วนท้องถิ่น (Local)
           
ส่วนกลาง คือ องค์การของรัฐระดับต่างๆ เช่น สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม ฯลฯ
           
ส่วนภูมิภาค คือ อำนาจส่วนกลางแต่ไปตั้งอยู่ในภูมิภาค เมื่อก่อนเรียกว่า มณฑล (Province) ต่อมาเรียกว่า จังหวัด ถัดลงมาจากจังหวัด เรียกว่า อำเภอ (District) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของ อำนาจการปกครอง หรือ อำนาจบริหาร (Administrative Power)
           
ผู้มีอำนาจการปกครอง หรืออำนาจบริหาร คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ จะต้องได้รับ การแต่งตั้งจากส่วนกลางตามหลักการรวมอำนาจของประเทศรัฐเดียว จึงจะรักษาความเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวของประเทศไว้ได้ ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเลือกตั้งไม่ได้เพราะการเลือกตั้งเป็นวิธีหนึ่งของการกระจายอำนาจ
           
ถัดลงมาจากอำเภอ ซอยลงมาเป็นตำบลหรือหมู่บ้าน ส่วนที่ซอยลงมานี้เรียกว่า ส่วนท้องถิ่น (Rural) คือ ส่วนที่อำนาจรัฐผสมผสานอย่างเหมาะสมกลมกลืนกับส่วนของประชาชน ที่มีการปกครองดูแลกันเองตามความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ในรูปของชุมชน ผู้มีอำนาจในส่วนนี้ คือ กำนันและผู้ใหญ่
           
                  4.อำนาจสังคม (Social Power) หรืออำนาจท้องถิ่น (Local Power)หมายถึง อำนาจที่ไม่มีลักษณะการเมือง เช่น อำนาจทางวัฒนธรรม อำนาจทางการรักษาความสงบเรียบร้อย อำนาจจัดการสาธารณูปโภคสาธารณูปการ เป็นต้น เป็นอำนาจจัดการในส่วนท้องถิ่น หรือเขตชุมชนเมือง เรียกว่า สุขาภิบาล (Municipality) ต่อมารัชกาลที่ 7 ทรงเปลี่ยนเป็น เทศบาล และจัดรูปของเทศบาลเป็น นคร เมือง และตำบล และในปัจจุบันได้เพิ่มรูปการปกครองท้องถิ่นขึ้นเป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล รวมทั้งเขตการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ คือ กรุงเทพมหานคร และ เมืองพัทยา ซึ่งอำนาจท้องถิ่นในส่วนที่นักวิชาการและนักการเมืองเพิ่มขึ้นนี้ ไม่ชอบด้วยหลักวิชาและข้อเท็จจริงของการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งกระผมจะได้กล่าวในตอนต่อไป
           
อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดของประเทศนั้น เป็นอำนาจที่กระจายได้ และต้องกระจายไปสู่ประชาชนจะกระจายไปสู่องค์การหรือเขตไม่ได้ เพราะอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของประชาชนอยู่แล้ว ต่างแต่ว่าเป็นของประชาชนส่วนน้อย หรือเป็นของประชาชนทั่วไป ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อย คือ การรวมศูนย์อยู่ที่ชนส่วนน้อย เรียกว่าเผด็จการ ถ้าเป็นของปวงชนหรือประชาชนทั่วไป เรียกว่า ประชาธิปไตยซึ่งอำนาจอธิปไตยของปวงชนนี้ ศัพท์ทางวิชาการเรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยดังนั้น เครื่องวัดว่า ประเทศใดเป็นประชาธิปไตยหรือเป็นเผด็จการ จึงอยู่ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนทั่วไป หรือเป็นของชนส่วนน้อย ประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่มีรัฐธรรมนูญ หรือไม่มีรัฐธรรมนูญ หรืออยู่ที่ต้องเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้ง หรืออยู่ที่การกระจายอำนาจการปกครองเป็นอำนาจท้องถิ่น ด้วยการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด หรืออยู่ที่ต้องกระจายอำนาจท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชนมีส่วนรวมในกิจกรรมท้องถิ่น
           
ประเทศไทยมีการเรียกร้องและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมานานกว่าศตวรรษ ต่อสู้และเรียกร้องมาจนถึงขณะนี้ประชาชนก็ยังไม่ได้ประชาธิปไตยสักที และสาเหตุสำคัญที่ประเทศของเรายังไม่เป็นประชาธิปไตยเหมือนอารยประเทศทั้งหลายนั้น ก็เพราะนักวิชาการและนักการเมืองหลอกประชาชน และนำประชาชนไปทำในเรื่องอื่นๆ ที่มิใช่ประชาธิปไตย ทั้งนี้เพื่อต้องการรักษาอำนาจอธิปไตยของชนส่วนน้อยไว้ นักวิชาการและนักการเมืองจึงเอาคำว่าประชาธิปไตยมาหลอกประชาชนได้ทุกเรื่อง และสามารถทำได้ทุกเรื่องไม่ว่าผิดหรือถูก ทำได้แม้กระทั่งปัญหาความเป็นความตายของชาติบ้านเมือง ยกเว้นเรื่องเดียวที่นักวิชาการและนักการเมืองไม่ยอมทำคือ การกระจาย
อำนาจอธิปไตยไปสู่ปวงชน ซึ่งก็คือ การสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงนั่นเอง
           
อำนาจอธิปไตยเดิมอยู่ที่พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชปณิธานที่จะกระจายอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของพระองค์ให้แก่ราษฎรทั้งหลาย เพื่อต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เช่นเดียวกับนานาอารยประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทั้งหลาย ดังพระราชหัตถเลขาอันลือลั่นว่า
ข้าพเจ้าสมัครใจจะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป...” ซึ่งหมายถึงการสร้างประชาธิปไตยนั่นเอง แต่พระราชปณิธานของพระองค์ท่านต้องพังไป เพราะถูกคณะราษฎรทำรัฐประหารช่วงชิงเอาอำนาจอธิปไตยไปไว้กับชนส่วน้อย และสืบทอดมรดกเผด็จการมาจนถึงปัจจุบันโดยพรรคการเมือง โดยอาศัยรัฐสภาเป็นเครื่องมือใช้อำนาจของชนส่วนน้อย เพื่อรักษาผลประโยชน์ของคนร่ำรวยและพรรคพวกของตน ประชาชนจึงเรียกการปกครองปัจจุบันว่าระบอบเผด็จการรัฐสภาและสมเด็จพระปกเกล้าฯ ตรัสถึงการปกครองที่คณะราษฎรสร้างขึ้นว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระเจ้าแผ่นดินยังดีกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของคณะ
ในประวัติศาสตร์บ้านเรา พระมหากษัตริย์ในอดีตตั้งแต่รัชกาลที่ 5, 6 และ 7 มีความเข้าใจประชาธิปไตยเป็นอย่างดี จึงขอให้เพื่อนๆพี่น้องประชาชนทั้งหลายได้โปรดให้ความสนใจศึกษา และทำความเข้าใจในแนวทางสร้างประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ในอดีตดังกล่าวด้วย
           
ดังนั้น ตามที่นักวิชาการและนักการเมือง ต้องการกระจายอำนาจเพื่อสร้างประชาธิปไตยนั้น ที่ถูกต้องคือ ต้องกระจายอำนาจอธิปไตยไปสู่ปวงชนมิใช่กระจายอำนาจรัฐสู่ท้องถิ่น หรือลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจสังคม
           
ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่นๆ เป็นผู้ถือและใช้อำนาจการปกครองหรืออำนาจบริหาร (Administrative Power) แต่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (นายกเทศบาลนคร) เป็นผู้ถือและใช้อำนาจสังคมหรืออำนาจท้องถิ่น (Local Power) ฉะนั้น จะเอาผู้ว่าทั้ง 2 ชนิดมาปะปนกัน หรือมาเป็นอันเดียวกันไม่ได้ เพราะถืออำนาจคนละชนิด คือ อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นอำนาจทางการเมือง แต่อำนาจของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นอำนาจท้องถิ่นซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมือง และที่สำคัญผู้ว่าราชการจังหวัดตามหลักรวมอำนาจของประเทศรัฐเดียว ต้องแต่งตั้งจากส่วนกลางจะเลือกตั้งไม่ได้ โดยเฉพาะไม่มีราชอาณาจักรที่ไหนในโลก ซึ่งนอกจากจะเอาผู้ว่าเทศบาล (กรุงเทพมหานคร) มาทำหน้าที่แทนผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครแล้ว ยังจัดให้มีการเลือกตั้งอีกด้วย ฉะนั้น การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครของประเทศไทย จึงเป็นการทำลายความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของราชอาณาจักร ทำให้จังหวัดกรุงเทพมหานครกลายเป็นรัฐอิสระอยู่กลางใจเมือง ซึ่งนอกจากจะเป็นการบั่นทอนเสถียรภาพของพระมหากษัตริย์และผิดหลักวิชารัฐศาสตร์ว่าด้วยรัฐเดียวอย่างร้าย
แรงแล้ว ยังละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 1. ที่บัญญัติไว้ว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ อย่างสำคัญ
           
ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน จึงเป็นความวิปริตทางภูมิปัญญาของนักวิชาการและนักการเมืองบ้านเรา หัวมังกุท้ายมังกร เอาหลักการของประเทศหลายรัฐมาใช้กับประเทศรัฐเดียว เป็นการเปลี่ยนราชอาณาจักรให้เป็นสาธารณรัฐ ประเทศของเราในปัจจุบันจึงมิใช่มี 77จังหวัดตามที่เข้าใจ หากแต่มี 75จังหวัด กับอีก 1 นคร เพราะสถานะความเป็นจังหวัด (Province) ของกรุงเทพมหานครได้ถูกยกเลิกไป และเปลี่ยนสถานะเป็นรัฐอิสระจากการยกเลิกการปกครองส่วนภูมิภาคของนักวิชาการและนักการเมือง อำเภอยกเลิกเปลี่ยนเป็นเขต ตำบลยกเลิกเปลี่ยนเป็นแขวง และทั้งที่การปกครองส่วนท้องที่ได้ทำการยกเลิกไปแล้ว แต่ก็ยังมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านตามชานนครกรุงเทพได้อย่างไร
           
และตามที่นักวิชาการและนักการเมืองอ้างว่า ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจสังคม คือการสร้างประชาธิปไตยก็ไม่เป็นความจริง เพราะการสร้างประชาธิปไตยต้องกระจายอำนาจไปสู่ประชาชน แต่การกระจายอำนาจการปกครองนั้น ไม่อาจกระจายไปสู่ประชาชนได้ เพราะอำนาจการปกครองนั้นต้องกระจายไปสู่องค์การหรือเขตเท่านั้น เช่น กระจายไปสู่ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น หาได้กระจายไปสู่ประชาชนไม่และการกระจายอำนาจท้องถิ่น เป็นเพียงแต่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่น หรือ “The Public to Take Part in Administrating the Locality” เท่านั้น หาได้ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ หรือ “The Public to Take Part in Administrating the Country” ไม่ และถึงแม้ว่าจะทำให้อำนาจท้องถิ่นเป็นของประชาชนได้ทั้งประเทศ ก็หาได้เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยไม่ ซึ่งการสร้างประชาธิปไตยของนักวิชาการและนักการเมืองเช่นนี้ ก็คือการหลอกประชาชนครับ
           
และตามที่นักวิชาการและนักการเมืองตั้ง อบจ. และ อบต. ขึ้นมาซ้อนทับกับเทศบาลและสุขาภิบาลด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย ก็ไม่เป็นความจริง เพราะระบอบประชาธิปไตยนั้น ต้องสร้างขึ้นก่อนจึงจะส่งเสริมได้ ถ้ายังไม่ได้สร้างขึ้นก่อนจะส่งเสริมได้อย่างไร และการกระจายอำนาจท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจการท้องถิ่น ไม่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย เช่นเดียวกับการรวมศูนย์อำนาจท้องถิ่นก็ไม่เกี่ยวกับระบอบเผด็จการ เพราะการรวมศูนย์หรือการกระจายอำนาจท้องถิ่นเกี่ยวข้องแต่กับปัญหาความเจริญท้องถิ่นเท่านั้น
           
โดยเฉพาะตามที่นักวิชาการและนักการเมืองเข้าใจว่า จะสามารถใช้การบริหารท้องถิ่นไปสร้างชุมชนเมืองขึ้นมาได้ การบริหารส่วนท้องถิ่นจะทำให้ทุ่งนาป่าเขาเป็นเมืองได้นั้น เป็นความคิดที่กลับตาลปัตรกับข้อเท็จจริงตามหลักวิชารัฐศาสตร์ ที่มีหลักว่า ชุมชนชนบทจะพัฒนาขึ้นมาเป็นชุมชนเมืองได้ ด้วยพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจแห่งชาติภายใต้ระบอบการปกครองที่ถูกต้อง และพัฒนาการจากชุมชนชนบทเป็นชุมชนเมือง คือเงื่อนไขไม่ให้เกิดองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น จากนั้นองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจึงจะกลับมาผลักดันพัฒนาการของชุมชนเมืองตลอดไปมิใช่สร้างองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นขึ้นก่อนในขณะที่ยังไม่มีชุมชนเมือง ความคิดของนักวิชาการและนักการเมืองเช่นนี้ จึงเท่ากับเป็นการผลาญงบประมาณแผ่นดินและถ่วงความเจริญโดยใช่ที่
           
จากข้อเท็จจริงและหลักวิชาที่ถูกต้องตามเอกสารฉบับนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า นักวิชาการและนักการเมืองบ้านเรา ซึ่งนอกจากจะปราศจากความรู้ความสามารถแล้ว ยังเอาความไม่รู้ของตนมาหลอกประชาชนให้หลงเชื่อ เพื่อหวังจะให้ประชาชนมีความศรัทธาเชื่อถือพรรคพวกของตน โดยทั่วไป ประชาชนไม่มีความรู้ในวิชารัฐศาสตร์อยู่แล้ว ย่อมจะคล้อยตามเพื่อ แสวงหาสิ่งที่ดีกว่าแต่การหลอกประชาชนด้วยเรื่องการกระจายอำนาจครั้งนี้ กลับเป็นมหันตภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติซึ่งเป็นราชอาณาจักร และต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ช้าพเจ้าจึงขอเรียกร้องต่อท่านผู้รู้ทุกท่าน ต่อพี่น้องประชาชนที่เคารพรักทั้งหลาย จงลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่ถูกต้องของชาติบ้านเมือง และขอเรียกร้องมายังนักวิชาการและนักการเมือง ผู้คิดจะนำบ้านเมืองไปสู่ความวิบัติ ได้โปรดละทิ้งทฤษฏีที่ผิดเสีย และหันกลับมายึดถือวิชาการที่ถูกต้อง หลักวิชาบัณฑิตต้องเคารพเว้นแต่พวกคนพาลเท่านั้น เพราะปัญหาหลักวิชาไม่ใช่ปัญหาทฤษฏี และขอได้โปรดจงร่วมมือกันในทุกฝ่ายเพื่อปฏิบัติดังนี้

            1. ยุติการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และทำให้กรุงเทพมหานครกลับสู่สถานะความเป็นจังหวัดเหมือนเดิม
           2. ยกเลิกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นรูปอื่นเสียทั้งหมด คงไว้แต่เทศบาลและสุขาภิบาล
           3. จงร่วมมือกันกระจายอำนาจอธิปไตยสู่ปวงชน เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามพระราชปณิธานของรัชกาลที่ 7ให้ปรากฏเป็นจริง และ
          4. ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติดังกล่าว โดยยึดถือแนวทางสันติ ตามวิถีทางประชาธิปไตย